“ทำธุรกิจอย่ารีบ ไม่ใช่ทำได้แค่ 2 เดือนท้อใจ นั่งตั้งคำถามหาแต่กำไร?? และตัดพ้อว่าตัวเองไม่เก่ง!!
“การทำธุรกิจ” เป็นหนึ่งอาชีพในฝันของหลายๆ คน แต่การที่ธุรกิจจะก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างที่ฝันนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่เข้ามา ทุกวันนี้ปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการยุคนี้ คือการเร่งรีบ ใจร้อน อยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จโดยเร็ว บางคนทำไม่ถึงเดือน ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา แถมบางครั้งยังตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า “ยังไม่เก่งพอ” โดยนักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Shiny Object Syndrome” หมายถึง นิสัยว่อกแว่ก ไม่สามารถโฟกัสกับงานอะไรได้สักอย่าง เพราะมีสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นกว่า จนต้องหันไปทำสิ่งนั้นแทน ซึ่งมีที่มาจากพฤติกรรมของเด็กที่ชอบสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นของเล่นหรือหนังสือการ์ตูน แต่พอเล่นหรืออ่านไปได้สักพักหนึ่งแล้ว ก็เริ่มเบื่อ จนต้องมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากกว่าของเดิมๆ จนถูกยกมาเปรียบเปรยกับเจ้าของธุรกิจ ที่บางครั้งเร่งรีบเกินไป ทำได้แค่ไม่กี่เดือน ก็ตั้งคำถามหาแต่กำไร เมื่อไม่ได้อย่างที่หวังก็เปลี่ยนสิ่งที่ทำอยู่ และต่อว่าตัวเองว่าไม่เก่ง ซึ่งการทำธุรกิจนั้น ให้มองว่าเหมือนเป็นการปลูกต้นไม้ ที่จะต้องศึกษาการดูแล คอยการรดน้ำ วิเคราะห์ว่าอะไรที่ต้นไม้ชอบ ทำให้มันโตไว ก็เหมือนการทำธุรกิจ ที่ไม่ได้แค่ลงทุนแล้วจะรวยเลย เพราะกว่าจะได้ผลผลิตก็ยังต้องใช้เวลา ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอจากภาวะ Shiny Object Syndrome คือ ใช้เงินลงทุนโดยใช้เวลา 1 – 2 เดือน แต่ยังไม่ทันได้วัดผลก็เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่แล้ว ซึ่งนั่นจะเป็นการทำให้เงินนั้นเปล่าประโยชน์ และมุ่งแต่คิดเรื่องกลยุทธ์ใหม่ จนงานที่ทำอยู่หยุดชะงัก และที่สำคัญเลยคือ อย่าเห็นว่าคนอื่นทำสำเร็จ แล้วตัวเองจะทำได้เช่นกัน และรีบทำตามแบบไม่ได้ศึกษา เพราะนั่นก็ไม่การันตีว่าจะ Success เหมือนคนอื่น อาจก่อให้เกิดความเสียหาย สุดท้ายแล้ว เราจะป้องกัน Shiny Object Syndrome ได้คือ ตั้งเป้าหมายที่ดี หัดเมินสิ่งใหม่ๆ บ้าง และเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เพราะการเปรียบเทียบกับคนอื่นอาจทำให้ความมั่นใจลดลงและทำให้ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง …
นมเมจิและกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ
อยู่ในตลาดในฐานะผู้นำ “นมพาสเจอร์ไรส์” มายาวนาน สำหรับ “นมเมจิ” ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดมากมายเพื่อช่วงชิงผู้บริโภค หลายครั้งที่ “เมจิ” นำเสนอความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เป็นผู้เดินเกมให้กับตลาดอยู่เสมอ ล่าสุดก็ได้ตั้งคอนเซปต์ 3 ความแข็งแรง ให้ทั้งคน เกษตรกร และสิ่งแวดล้อม คือการที่แบรนด์ไม่ได้ใส่ใจแค่สุขภาพที่ดีของคนเท่านั้น แต่ยังมองไปถึง 3 ความแข็งแรง คือ “คน” ที่ “เมจิ” มองว่า คนจะแข็งแรงก็ต้องดื่มนม เพราะมาพร้อมประโยชน์มากมาย ทั้งมีไขมันดี เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย, โปรตีนสูง มีประโยชน์ต่อการสร้างเม็ดเลือดและกระดูก รวมถึงมีแคลเซียมสูง เสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน “เกษตรกร” กับการให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงวัว ในเรื่อง “การผลิตน้ำนมคุณภาพสูง” เพื่อช่วยให้เกษตรกรฟาร์มนมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตน้ำนมโค สู่การเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีกด้วยเช่นกัน “สิ่งแวดล้อม” ซึ่งเมจิมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานด้วยความเป็นเลิศด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม นั่นหมายถึงใส่ใจในขั้นตอนกระบวนการผลิต ที่ต้องการลดความสิ้นเปลืองในการใช้ทรัพยากรโลก จากกลยุทธ์นี้เป็นการตอกย้ำการสื่อสารผ่านแคมเปญ ที่นำเสนอคอนเซ็ปต์ความแข็งแรงจากคนไปสู่ความยั่งยืนของโลก นับว่าเป็นการทำการตลาดแบบครบสูตร เพราะการมีสินค้าที่ดีแล้ว ยังคำนึงถึงเรื่องรอบตัวที่แบรนด์ไม่ได้มองข้าม “มากกว่าได้กำไร คือการคืนกำไรให้คนอื่นก่อน” …
พลังโซเชียลช่วยล้างหนี้ และพลิกโอกาสเป็นเศรษฐีหน้าใหม่!
วัยรุ่นในยุคนี้ ยังคงมีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องสุขภาพทางการเงิน เพราะโดยรวมแล้วคนในประเทศเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้ช้า ในที่นี้ขอยกตัวอย่างหญิงชาวอเมริกันวัย 31 ปี “Jasmine Taylor” ที่ประสบความสำเร็จ หลังจากเป็นหนี้หลักล้านในช่วงที่อายุยังน้อย เธอประสบปัญหาเรื่องเงิน จากภาระที่ต้องจ่ายทั้งค่ากู้เงินเรียน ค่าบัตรเครดิต ค่ารักษาพยาบาล รวมเป็นเงินกว่า 2 ล้าน 3 แสนบาท แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ คือการตัดสินใจแชร์ไอเดียผ่าน TikTok โดยใช้หัวข้อว่า “Stuff sinking funds with me!” ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีคนชื่นชอบแนวคิด ก่อนที่ต่อมาเธอจึงเกิดไอเดียสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยเงินลงทุน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 42,000 บาท สร้างแบรนด์ “Baddies & Budgets” ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแรกบน Shopify ที่เธอลงทุน และทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว โดยมีผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือกระเป๋าสตางค์เงินสด ในปี 2021 ต่อมาในปี 2022 เธอทำเงินได้ 29 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่าในปี 2023 นี้ เธอจะทำเงินได้ประมาณ 1 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 35 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า “Jasmine Taylor” เริ่มต้นเป็นหนี้ 2 ล้าน สู่คนมีรายได้ เกือบ 30 ล้านต่อปี ด้วยไอเดียการปลดหนี้ ที่มาจากการวางแผนที่เป็นระบบ กล้าที่จะเสี่ยง และที่สำคัญคือ “พลังของโลกโซเชียล” จากจุดเล็กๆ ในการแชร์ไอเดีย จนเกิดเป็นธุรกิจบนโลกออนไลน์และทำรายได้ปลดหนี้ได้ตอนอายุยังน้อย “Jasmine Taylor” ได้แชร์ประสบการณ์การทำธุรกิจให้สำเร็จว่า เธอต้องคอยดูทุกปัญหาและต้องระบุปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยว่าเกิดจากอะไร และรีบคิดวิธีแก้ปัญหา อย่าเลือกเดินหนีเพราะปัญหาอาจใหญ่ขึ้นจนสายเกินไปก็เป็นได้ และที่สำคัญเลยก็คือธุรกิจในออนไลน์ การสร้าง Content ควรเข้าถึงคนได้ง่าย ให้ความสนใจกับคำถามของคนดู เพราะมันคือการสร้างประสบการณ์ร่วมกันระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย เห็นแบบนี้แล้วใครที่กำลังประสบปัญหาเรื่องการเงินหรือมีหนี้ในตอนที่อายุน้อย ลองใช้ไอเดียนี้และลงมือทำ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนหนึ่งที่ปลดหนี้-ปลดล็อก เพื่อความมั่งคั่งในอนาคตของตัวเองก็เป็นได้ …
“การตลาดเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ครบ 360 องศา” แกะแพทเทิล สี Nippon สูตรการตลาดที่น่าสนใจ
ในปี 2023 ธุรกิจจะต้องปรับตัว เนื่องจากเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการทางธุรกิจของแบรนด์ เพราะฉะนั้นการวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด ก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจะพูดถึงกลยุทธ์การตลาดแบบ 360 องศา ที่เป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารทางการตลาดหลายประเภทรวมกัน เพื่อให้กลุ่มลูกค้าได้รับข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้านั่นเอง ในที่นี้จะยกตัวอย่าง สี Nippon Paint ที่ทำการตลาดที่น่าสนใจ ด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาด 360 องศา ซึ่งการสื่อสารของแบรนด์ ไม่ได้มาบอกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ตรงๆ แต่เน้นไปที่ความรู้สึกผ่านโฆษณาแทน ซึ่งเป็นการเล่นกับ Emotional ของผู้ชม กระตุ้นให้เกิดอารมณ์ร่วมไปด้วย รวมทั้งยังโฆษณา Online , On-ground เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครบทุกช่องทาง และยังมีป้าย OOH (Out of Home) ที่ใช้พื้นที่ตึกร้าง และมีรูปบ้านสีแดงสด พร้อมเพิ่มลูกเล่นด้วยจอ LED ที่ฉายภาพจากโฆษณา จนต่อมาเกิดรีวิวของคนดูบนโซเชียล กวาดยอดวิวไปถล่มทลาย เรียกว่าเป็นการทำการตลาดแบบ 360 องศา ที่เห็นผลชัด และถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุม ทั้งสร้างสรรค์คอนเทนต์โฆษณา, Social Media ที่ถูกพูดถึงเรื่องป้ายบนตึกร้าง เป็นการขยายตลาด ให้เข้าถึงและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้อย่างทั่วถึงสม่ำเสมอ …
ผู้ประกอบการวัยรุ่นกับเคล็ดลับสู่ความสำเร็จก่อนวัย 30
การประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้มากับคำว่าเก่งและเฮงเท่านั้น แต่การที่จะถึงจุดสูงสุดในชีวิต ต้องผ่านอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ซึ่งหนุ่ม-สาวหลายคนมองว่ามักจะเกิดขึ้นในช่วงอายุมากๆ แต่ทุกวันนี้การที่จะประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ อาจเป็นไปได้ไม่ยาก เพียงแค่ลองเปลี่ยนความคิด ให้มุ่งสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะในช่วงอายุก่อน 30 เป็นวัยที่เริ่มทำงาน มีพลัง และลงมือปฎิบัติอย่างจริงจัง ทำให้สร้างโอกาสให้กับตัวเอง และพร้อมไปสู่จุดหมายได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ Under30CEO เว็บไซต์สื่อชั้นนำมองว่าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อย่าละทิ้งเวลาในวัย 20 ต้นๆ ให้เสียเปล่า เพราะมันคือการสร้างฐานที่มั่นคงและแข็งแรงสำหรับอนาคตที่ดี ► ฝึกฝนตัวเอง หาความรู้ให้ตัวเอง หากไม่เข้าใจอะไรให้ถาม เพราะยิ่งอายุน้อย การถามคนที่เก่งกว่า ผู้ใหญ่หลายคนก็อยากจะช่วยเหลือ ► ต้องสร้าง “วิสัยทัศน์” เป็นการฝึกทักษะ ทำให้เกิดแนวคิดและมุมมอง เกิดเป็นความเชี่ยวชาญและชำนาญตามมา ► เริ่มสร้างคอนเนคชั่นตั้งแต่อายุน้อยๆ ซึ่งข้อนี้มีความสุ่มเสี่ยง อาจไม่ใช่คำแนะนำที่เข้มข้น เพราะ คือการเตรียมตัวเองให้พร้อม รับโอกาสที่มาจากคอนเนคชั่น หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Preparation Meets Opportunities ► วินัยและแรงจูงใจ ซึ่งอยากให้หาแรงจูงใจ ในวันที่เริ่มทำอะไรแรกๆ โดยสามารถทำบนความเสี่ยง และไม่กลัวเรื่องหลังชนฝา เพราะอายุที่น้อยและยังมีโอกาสในการแก้ตัวหรือเริ่มต้นใหม่ ► ความอดทน ไม่ยอมแพ้แม้เจอปัญหา ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้ประสบความสำเร็จ เพราะคนที่ชนะไม่ได้มาจากความเก่งหรือฉลาด แต่เป็นเพราะ ความไม่ยอมรับการพ่ายแพ้ แต่ทั้งนี้การ “ยอมแพ้ให้เป็น” ก็อาจได้รับผลลัพธ์ที่หอมหวาน เพราะบางสถานการณ์ การ “ยอมแพ้ไม่เป็น” ในเวลาที่เหมาะสม อาจเกิดข้อเสียได้ด้วยเช่นกัน Source: 100WEALTH …
นับถอยหลังหมดยุค KOL เพราะยุคนี้คือ KOC กลยุทธ์ใหม่สร้างลูกค้าตัวจริงช่วยกระจายการรับรู้ในวงกว้าง
การทำการตลาดแบบ KOL หรือ Key Opinion Leader นั้นได้รับความนิยม โดยกลยุทธ์นี้คือ การใช้ผู้นำทางความคิดหรือคนที่มีความน่าเชื่อถือจนสามารถแนะนำและทำให้ผู้คนสนใจไปกับความคิดของพวกเขาได้ ซึ่งสำหรับในไทย หลาย ๆ คนอาจคุ้นกับคำว่า Influencer โดยกลุ่มคนทั้ง 2 ประเภทนี้มีความคล้ายกัน และในบางครั้ง KOL ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในกลุ่ม Influencer เพียงแต่ KOL นั้นจะเป็นผู้นำทางความคิดกับผู้คนเพียงบางกลุ่ม มีความเชี่ยวชาญด้านเฉพาะทาง และมีอิทธิพลทางความคิดในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ สำหรับ KOL Marketing นั้น ข้อดีคือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า ผู้ติดตามสามารถมีส่วนร่วมได้ง่าย และด้วยความสามารถของกลุ่ม KOL ทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือ แต่ในยุคปัจจุบัน ยุคที่ลูกค้าอาจไม่ได้ตามดาราอีกต่อไป ก็เลยได้ถือกำเนิดเครื่องมือการตลาดรูปแบบใหม่อย่าง KOC (Key Opinion Cunsumer) ที่เป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่ในโลก Social Media เหมือนกับ KOL และ Influencer แต่ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง เป็นเพียงคนทั่วไปที่ได้รับประสบการณ์จากการใช้สินค้าหรือการบริการจริง ๆ และนำมารีวิวให้เกิดการรับรู้ ถือเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่สร้างลูกค้าตัวจริง และช่วยกระจายการรับรู้ในวงกว้างนั่นเอง ทำให้นักการตลาด ต้องปรับตัว หันมาให้ความสำคัญกับ KOC ที่จะวัดคุณภาพด้วย Engagement ระหว่างลูกค้าที่มีกับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นยอดซื้อสะสม, ซื้อซ้ำ, บอกต่อ รวมถึงลูกค้าที่มี Loyalty สูง เพราะจะเป็นการช่วยสนับสนุนให้นำไปเล่าต่อ มีความน่าเชื่อถือ และเกิดความคุ้มค่าไปสู่การสื่อสารทางการตลาดที่ยั่งยืน แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่า การตลาดแบบ KOC ก็มีข้อเสีย เพราะอาจสร้างยอดขาย และสร้างอิทธิพลได้ในวงแคบกว่าการใช้ KOL และเพื่อการทำการตลาดและโปรโมตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด บางครั้งเองก็อาจต้องใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นที่สุด …
สรุปประเด็นสำคัญ ๆ ที่นักการตลาดจำเป็นต้องรู้และอัปเดตตัวเองจากเวที “Creative Talk Conference 2023”
บนเวทีที่นำเสนอใน Session ชื่อว่า Marketing Trend 2024 ที่มี คุณสิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์ จาก Content Shifu และ คุณสุนาถ ธนสารอักษร จาก Rabbit’s Tale มาอัปเดตและแบ่งปัน ยุคนี้ต้องโฟกัสและให้คุณค่ากับผู้คนและสังคมมากขึ้น ต้องทำให้แบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์หรือชีวิตของกลุ่มเป้าหมายให้ได้ ยิ่งใกล้กันมากเท่าไหร่ก็จะช่วยลดช่องว่างระหว่างกันเท่านั้น อย่าโฟกัสแค่ AI Automation หรือ การสื่อสารว่าแบรนด์นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การตลาดดีเพียงด้านเดียว แต่ให้เน้นย้ำว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับเดต้า ลิขสิทธิ์ และความปลอดภัยของข้อมูลอย่างไร ต้องเรียนรู้และเข้าใจเครื่องมือ Marketing Technology มากขึ้นเพราะแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นมาก ประมาณ 16.7% และเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยผ่อนแรงและเสริมให้ติดสปีดงานการตลาดได้ดีขึ้น ขับเคลื่อนด้วยสกิลสำคัญที่นักการตลาดจะต้องมีได้แก่ แบรนด์พร้อมที่จะสร้างคุณค่าให้กับผู้บริโภค โดดเด่นและกล้าเป็น Game Changer เพื่อขึ้นเป็นผู้นำ Always-on ทำอย่างต่อเนื่องในมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค …
หนังสือเล่มนี้ดี ศิลปะอยู่ร่วมกับ ‘คนเฮงซวย’
มีใครเคยอ่านหนังสือเล่มนี้บ้าง ? มีใครที่ยังจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับ ‘คนเฮงซวย’ เพราะยังไม่มีจังหวะที่จะหลีกหนีได้พ้นบ้าง ? หรือไม่ในชีวิตจริงเราเองก็อาจจะกลายเป็น ‘คนเฮงซวย’ ในชีวิตใครหลาย ๆ คนก็ได้เช่นกัน ในหนังสือแบ่ง ‘คนเฮงซวย’ ออกเป็น 2 แบบคือ “ชั่วคราว” คนที่เครียดใส่บ้าง หงุดหงิดบ้าง พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากปกติบ้าง เพราะมีสิ่งเร้ามากระทบและไม่ได้เป็นบ่อยทุกวันจนเป็นนิสัย และ “ถาวร” คือตรงกันข้ามกับแบบชั่วคราว หรือสังเกตุคน ‘คนเฮงซวย’ ถาวรง่ายๆ ได้จากสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อคนอื่น เช่น ชอบทำให้เรารู้สึกด้อยค่า ไม่มีคุณค่า, ปฏิบัติกับคนที่มีอำนาจน้อยบนความกดขี่, ชอบโทษคนอื่นในเรื่องที่ตัวเองผิดหรือโยนความผิดให้คนอื่นรับผิดชอบแทน, ชอบข่มขู่ วางอำนาจ ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่เคารพความส่วนตัวของคนอื่น วิธีที่ดีที่สุดคือหนีไป!! แต่ถ้ายังหนีไปไม่ได้เอาเทคนิคแบบย่อยมาให้แล้วจากหนังสือ “ศิลปะอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย” มาแบ่งปัน หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ เปลี่ยนความคิดตัวเองเพื่อพยายามเข้าใจสิ่งที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น โต้กลับไปบ้าง …
ความตลกในการสื่อสาร ส่งเสริมแบรนด์ให้เป็นที่สนใจ สร้างยอดขายได้ดีกว่าคู่แข่ง จริงหรือไม่ ?
มีข้อมูลตัวเลขสถิติที่ทาง MarketThink, workpointTODAY เขียนไว้อย่างน่าสนใจเอามาแบ่งปัน เกี่ยวกับการสร้างการสื่อสารในเชิงตลกและสนุกสนานส่งผลที่ดีต่อแบรนด์อย่างไรบ้าง และเกี่ยวกับพฤติกรรมการตอบรับของผู้บริโภคที่มีต่อการสื่อสารที่ตลก สนุกสนานนั้นมี Feedback ที่ดีอย่างไร ? จากสถิติของคนทั่วโลกกว่า 90% สามารถจดจำสื่อที่ดูตลกได้มากกว่าสื่อของแบรนด์คู่แข่งที่ไม่ตลก ยังมีงานวิจัยระดับโลกที่ชี้ให้เห็นสอดคล้องกันว่า คนเอเชียมากถึง 85% ต้องการประสบการณ์ใหม่จากแบรนด์ที่ทำให้พวกเขายิ้ม อารมณ์ดีและมีความสุข ผู้บริโภคจำนวน 76% ยินดีที่จะจ่ายแพงกว่าเพื่ออุดหนุนแบนด์ที่มีอารมณ์ขันและสนุกสนาน ทั้งคอนเทนต์สื่อสาร การโต้ตอบกับลูกค้า มากกว่าแบรนด์ที่มุ่งเน้นแต่การแข่งขันทางธุรกิจ สำหรับการโฆษณา ผู้คนกว่า 89% มีแนวโน้มจำโฆษณาที่ตลกขบขันได้ บน Social media ผู้คนกว่า 74% จะติดตามแบรนด์ที่สนุกสนาน ประเด็นด้านยอดขายน่าสนใจที่สุด นั่นคือ ถ้าแบรนด์ใช้อารมณ์ขัน ผู้คนมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าซ้ำจากแบรนด์นั้น (82%) พร้อมแนะนำแบรนด์แก่ครอบครัวและเพื่อน (81%) Source: MarketThink, workpointTODAY …
เรียนรู้จาก Steve Jobs คือเรื่องที่ไม่เคยเก่า เขาให้แนวคิดอะไรเราบ้าง ?
ความเชี่ยวชาญและความชำนาญเกิดจากการทำซ้ำบ่อย ๆ เพราะก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าที่ เข้าทางมันต้องทำซ้ำอยู่บ่อย ๆ และแก้ไข ใช้ความล้มเหลวไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนา เพราะในการพัฒนาโปรดักส์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ จึงมาพร้อมกับการรับมือกับความผิดพลาด รวมถึงความถูกใจในบางอย่าง เกี่ยวกับโปรดักส์ของลูกค้าและต้องพัฒนาใหม่อย่างต่อเนื่อง เลือกทำในสิ่งที่ยากเข้าไว้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลา ถึงแม้ว่าจะต้องแบกรับความเสี่ยงในสิ่งที่จะตามมา แต่นั่นคือโอกาสแห่งความสำเร็จที่แตกต่างเช่นกัน Photo Credit: https: www.techmoblog.com/ …