สร้าง SEO บน Facebook
Search Engine Optimization หรือ SEO อีกหนึ่งเครื่องมือในการเพิ่มพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักหรือเห็นธุรกิจของเราได้มากขึ้น ในยุคก่อนคนอาจจะมองว่าถ้าจะทำ SEO จะต้องไปเน้นทำบนเว็บไซต์เท่านั้น เพื่อให้ขึ้นในหน้าแรกของ Search Engine อย่าง Google แต่ตอนนี้เราสามารถทำ SEO ให้ Facebook ไปขึ้นที่ Google ได้แล้ว!! ยิ่งอันดับสูงเท่าไหร่ยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสการมองเห็นได้มากเท่านั้น ชื่อ Facebook ต้องเกี่ยวกับธุรกิจและจดจำง่าย ชื่อเพจของ Facebook เป็นส่วนที่กลุ่มเป้าหมายจะเห็นเป็นอย่างแรก ดังนั้นการใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องหรือสื่อถึงประเภทธุรกิจและสินค้า URL ของ Facebook Page อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เพจของเราติดอันดับได้ง่ายขึ้น โดยเลือก Username ที่ใช้ชื่อสั้น กระชับ เป็นคำที่คนจะค้นหา เป็นชื่อของแบรนด์เราเองก็ทำได้เช่นกัน เลือกใช้ Keyword ให้เหมาะสม เราสามารถที่จะใช้เครื่องมือที่ช่วยวางแผนการใช้คีย์เวิร์ดเข้ามาช่วยได้เลือกคีย์เวิร์ดที่คนมักจะค้นหากันเยอะ โดยต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราเพื่อนำเสนอสินค้าของเราให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เน้นไปที่คำที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์และคนใช้ค้นหามากที่สุด อย่าลืมที่จะอธิบายข้อมูลของแบรนด์ให้ครบถ้วน เพื่อให้ลูกค้าหรือคนที่เข้ามาในเพจเข้าใจแบรนด์ของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ช่องทางการติดต่อ ลักษณะของธุรกิจ เวลาเปิด-ปิด ใส่ Backlink จากแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าลืมที่จะใส่ Backlink หรือการใส่ Link ของ Facebook ใส่แพลตฟอร์มอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Website, Blog หรือร้านค้าออนไลน์ที่เรามีอยู่ ใส่ปุ่ม CTA เพื่อกระตุ้นเป้าหมาย Call To Action หรือ CTA เป็นปุ่มที่ไม่ควรพลาดที่จะไม่ใส่ลงไป เพราะจะช่วยกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายลงมือดำเนินการในขั้นตอนต่อ ๆ ไป โดยเลือกใช้ให้เหมาะสม Objective ที่เราต้องการ เลือกใช้ # ที่เกี่ยวข้อง การเลือกใช้ Hashtag ที่มีคำเฉพาะหรือเจาะจงลงไปจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเลือกใช้คำทั่ว ๆ ไป เพราะกลุ่มเป้าหมายมักจะเลือกค้นหาในสิ่งที่ตัวเองสนใจมากกว่าคำทั่วไปและควรเลือกคำสั้น ๆ คำที่จำง่าย เทคนิคการทำ SEO ที่ได้รวบรวมมาให้นี้ จะสามารถช่วยเพิ่มให้การค้นหาและการมองเห็น …
เทคนิคการยิงแอดใน Facebook เพื่อให้เกิด Effective ในทุก Statement
ยิงแอดอย่างไรก็ไม่ปัง ทำอย่างไรก็ไม่ Effective จ่ายค่าแอดเยอะ แต่กลับไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย วันนี้มีเทคนิคดี ๆ มาแนะนำกัน ลองไปเช็กกันดูว่าเราพลาดตรงไหนหรือต้องเติมส่วนไหนเข้าไปอีก ► ภาพที่ใช้ยิงโฆษณาต้องดี ต้องตระหนักไว้เสมอว่าแข่งขันกับโฆษณาอีกหลายตัว รวมถึงโพสต์ต่าง ๆ หน้าฟีดของกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นภาพต้องดึงดูดความสนใจให้ได้มากที่สุด โดยสามารถเลือกรูปจากเทคนิคเหล่านี้ เลือกสีพื้นหลังที่สะดุดตา เลือกรูปที่สื่อถึงอารมณ์ เลือกรูปที่แปลกใหม่แตกต่าง ► ต้องเข้าใจกลุ่ม Target หากยิงโฆษณาไปโดยไม่เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเรา จะทำให้แอดที่ยิงไปไม่มีคุณภาพ ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร โดยเราสามารถใช้เครื่องมือ Audience Insight เพื่อดูข้อมูลเชิงลึกและนำมาวิเคราะห์ก่อนที่จะเลือกยิงแอดได้ ให้ได้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเรานั้น ชอบทำอะไร ช่วงเวลาไหน มีความสนใจหรือกำลังติดตามเรื่องประเภทไหนอยู่ เพราะในโลกแห่งการตลาดนั้น Data คือสิ่งสำคัญ ที่จะพาธุรกิจให้สามารถแข่งขันและเจาะกลุ่มตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ► ไม่ควรแก้ไข Ad บ่อย ๆ หลังจากปล่อยโฆษณาออกไปแล้วควรรอดู Data ประมาณ 2 – 3 เพื่อวิเคราะห์ทิศทางของโฆษณาตัวนั้น ๆ ว่ากำลังรันไปได้ด้วยดีหรือว่าเงียบไปแล้ว แล้วจึงจะมาปรับแก้หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายหลังเพื่อให้ Ad ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหากแก้ไขบ่อย ๆ จะต้องรอผ่านการตรวจสอบจาก Facebook ทุกครั้งที่มีการแก้ไข นอกจากนั้นกลุ่มเป้าหมายของเราอาจจะยังไม่ทันเห็น หากรีบแก้ไขเร็วเกินไปจะทำให้พลาดโอกาสไป ► เลือก Target ให้ตรงกับโปรดักส์ ยังมีหลายคนที่มองว่าเลือก Target แบบกว้าง ๆ ไว้ก่อน หว่านแหไปเดี๋ยวก็ได้เอง แต่นั่นคือวิธีการที่ทำให้เราเสียเงินโดยไม่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย หากปรับเป็นการรวมความสนใจที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและเกี่ยวข้องกันเอาไว้ซัก 3 อย่าง เป็นการทำให้กลุ่มเป้าหมายแคบลง โดยไม่เจาะจงเฉพาะสิ่งเดียว เช่น กรุ๊ปของคนชอบกางเกง คนชอบแฟชั่น คนชอบเสื้อผ้า เป็นต้น เพราะบางคนที่กดไลก์รูปกางเกง อาจจะไม่ได้ชอบกางเกงตัวนั้นแต่ชอบสีหรือชอบตัวคนที่สวมใส่ แต่ Facebook จะนับเป็นความสนใจกางเกง …
จะสำเร็จในธุรกิจไม่ใช่แค่กำไร แต่มองธุรกิจให้ออกตลอดทั้งสายจากต้นน้ำยันปลายน้ำ
อย่า!! มองแค่กำไร เพราะนี่ไม่ใช่ทั้งหมดของการทำธุรกิจ การจะทำธุรกิจให้ดีได้นั้นต้องแกะให้ออกต่อไปนี้ กำไร ต้นทุน ที่สอดคล้องกับเวลา สร้างแนวทางการตลาดการขายที่ได้ผลกับตัวเอง เช็คตลอดเส้นทางอะไร ที่ช่วยจัดการความเสี่ยงให้เร่งทำ ‘ในทันที’ สอนงาน คุมงาน สร้างให้ทีมงานเก่ง ไม่เพียงแค่ทำตามได้ แต่ทำได้ดีกว่า วัดผลตลอดเวลา สนุกกับเครื่องมือใหม่ ๆ ไม่สร้างภาวะยึดติด …
5 จิตวิทยา สร้าง Brand Awareness
เคยสงสัยกันบ้างไหม ? ว่าทำไมเวลาเลื่อนหน้าฟีดไปแล้วถูกดึงดูดด้วยโฆษณาบางตัวถึงกับที่เราดูจนจบ ไม่กดข้ามเลย แล้วเคยลองย้อนกลับไปดูพฤติกรรมการ shopping ของตัวเราเองบ้างไหม ? ว่าทำไมถึงซื้อสินค้าหรือบริการนี้แทนที่จะซื้อของอีกเจ้านึง หลายคนอาจจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “การถูกสะกดจิต” อาจจะฟังดูน่ากลัว แต่ก็ไม่เกินจริงเพราะนักการตลาดที่ดี จะต้องรู้จักการใช้หลักจิตวิทยาเข้ามาช่วยเสริมแกร่งให้กับโฆษณาและคอนเทนต์ของแบรนด์ไม่จม ไม่หาย เพราะในยุคที่การแข่งขันสูง รวมถึงมีโฆษณามากมายถูกยิงไปพร้อมกัน หากตัวคอนเทนต์ของเราไม่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ ก็ถือว่าสูญเปล่า ทั้งพลังเงิน พลังสมองและพลังใจ มีหลักจิตวิทยาเรื่องอะไรบ้างที่จะช่วยสร้าง Brand Awareness & Brand Trust ได้ ► การเลือกใช้สี แต่ละแบรนด์ต้องมีสี Corporate Image หรือ CI กันอยู่แล้ว เพื่อใช้ในการออกแบบให้แบรนด์มีเอกลักษณ์และโดดเด่น แต่ในบางครั้งสี CI ของเราที่ใช้ทำภาพออกมาแล้ว อาจจะให้ความรู้สึกว่าแบรนด์ดูไม่ทันสมัย ดูโบราณ เราสามารถปรับโทนสีให้ดูเบาขึ้น สดใสขึ้น ด้วยสีที่เป็นเฉดเดียวกันในพาเลทสีเดียวกันของ CI แบรนด์ โดยยังคงให้โลโก้ของแบรนด์เป็นสีหลักได้ ภาพรวมก็จะออกมาดูดีขึ้น ตาม Mood & Tone ที่ตั้งใจจะสื่อสาร ► กระแสโซเชียลและเทรนด์จาก Influencer แรงกระตุ้นให้เกิดการซื้อขึ้นนั้น คงไม่พ้นจากคนรอบข้างของกลุ่มเป้าหมาย เพราะมากกว่า 80% คนมักจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการตามที่เพื่อนแนะนำและบอกต่อ รวมถึงการใช้งานจากเหล่าดาราและ Influencer ก็เป็นอีกแรงขับให้เกิดความอยากซื้อมากขึ้น ► ซื่อสัตย์และโปร่งใส เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือในตัวแบรนด์ของเรา ต้องบอกทุกรายละเอียด อธิบายทุกความเป็นไปได้ของการใช้สินค้านั้น เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็นคนที่ช่วยดูแล แก้ปัญหา ตอบข้อสงสัยของเขาในทุก ๆ ด้าน ► ให้ภาพเล่าเรื่อง Visual Storytelling หรือการใช้ภาพเล่าเรื่อง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ ทั้งยังเป็นการสะท้อนถึงตัวตน ภาพลักษณ์และความต้องการของลูกค้าได้อีกด้วย ► ได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่ว่าจะมาจาก คอนเทนต์ คุณภาพ ราคา การบริการ เป็นต้น ทุกส่วนที่เกี่ยวกับแบรนด์ถือว่าเป็น Experience ที่ลูกค้าจะได้รับ ดังนั้นแบรนด์จึงต้องวาง Branding Strategy ที่จะมาช่วยกำหนดทิศทางทั้งหมด …
อยากทำธุรกิจให้ดีอย่ากังวลมาก จนหลุดจากเป้าหมาย จนไม่โฟกัสในเส้นทางของตัวเอง
เปิดนิสัยของนักธุรกิจที่ส่วนมากมีคล้าย ๆ กัน และก็เป็นนิสัยที่นำมาซึ่งโอกาสเป็นหนทางของความสำเร็จ คิดว่าต้องผลิตสินค้าคุณภาพ แต่จริง ๆ แล้วคนต้องการสินค้า 2 แบบ คือ ความต้องการและความจำเป็น ไม่พยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองแต่พยายามสร้างให้เกิดความร่วมมือ ไม่ทำทุกอย่างตามใจและเลิกตัดสินจาก ‘เพราะชอบ’ แต่ให้พิจารณาทำตามรายการที่ได้แพลนไว้ ไม่หมกมุ่นกับการวางแผนอย่างเดียว ไม่โฟกัสกับวางแผนให้ดีที่สุด แต่โฟกัสที่แผนระดับหนึ่งและลงมือทำให้ดีที่สุด ไม่ยัดเยียดสินค้า แต่ให้วิธีแก้ปัญหากับลูกค้า ไม่ตามกระแส อยู่ในร่อง ในเส้นทางตามเป้าหมายของตัวเอง ไม่โฟกัสคู่แข่งและคนอื่นมากเกินไป สังเกตตัวเองชัดเจนในทุกมิติ …
ทำ PR แบบไหน ? ถูกใจคน Digital
Public Relations หรือ PR เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่สามารถซัปพอร์ตกลยุทธ์ทางการตลาดและการทำ Branding ให้แข็งแกร่งขึ้นได้ คนทำ PR จึงต้องรู้จักปรับตัวไปตามยุคสมัย ซึ่งในในยุคปัจจุบันคนมักเรียกว่า Digital PR เพราะเป็นยุคที่มีเครื่องมือและข้อมูลมากมายมหาศาลให้เลือกหยิบขึ้นมาใช้ วางเป้าหมายของแบรนด์ที่ชัดเจน PR เป็นวิธีช่วยสื่อสารความตั้งใจต่าง ๆ ของแบรนด์ออกไปสู่กลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น จะต้องมี Goal และ Target ที่ชัดเจน เพื่อกำหนดทิศทางของคอนเทนต์ในส่วนต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง Quality ≠ Quantity คอนเทนต์ PR ต้องเน้นเรื่องของคุณภาพมากกว่าเน้นปริมาณ หากเนื้อหาไม่ดีจะปล่อยออกไปมากเท่าไหร่ก็ไม่เวิร์ก แต่ถ้าทำคอนเทนต์ดี ๆ ออกมาซักหนึ่งตัว ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ จากข้อมูล ความต้องการ ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี คนจดจำแบรนด์ เกิด Like เกิด Share ได้แก่ (1) คอนเทนต์ที่มีเฉพาะเราหรือเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง อย่างวิเคราะห์งานวิจัย วิเคราะห์ Success Case การวิเคราะห์ข่าวกระแส ทำให้เกิดการกดกลับมาที่เราซึ่งเป็นโพสต์ต้นทางได้อีกด้วย (2)โพสต์กระแส สิ่งที่คนกำลังสนใจหรือชอบพูดถึงเพื่อกระตุ้น Emotional ให้เกิดการคล้อยตาม เกิดการแชร์ต่อ แต่ต้องระวังในเรื่องของการใส่สีตีไข่มากเกินไป พยายามใช้สิ่งที่เป็น Fact ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นโพสต์ที่คนไม่ให้คุณค่า แถมยังโดนกระแสตีกลับในแง่ลบอีกด้วย สะดุดตาและดึงดูดความสนใจ การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่เพียงแค่เนื้อหาคอนเทนต์ที่เป็นตัวหนังสือเท่านั้น ภาพที่ใช้สื่อสารต้องสอดคล้องเป็นไปตามเนื้อหาของคอนเทนต์ด้วย ต้องดูดี สะดุดตา มีความโดดเด่น และน่าสนใจ Build Trend คอนเทนต์ที่โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียของแบรนด์นั้น สามารถสร้าง Impact เกิดเป็นเครือข่ายขยายตัวออกไปได้ไกลมากในแบบที่คาดไม่ถึง โดยสามารถใช้เหล่า Influencer ช่วยทำให้เกิดกระแสขึ้นได้ นอกจากนั้นเนื้อหาที่น่าสนใจ มีประโยชน์ และเป็นเรื่องที่คนกำลังอินในขณะนั้น จะทำให้เกิดการแชร์ Comment และสื่อสารกันต่อไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้คนรู้จักและสนใจในแบรนด์ได้มากขึ้น ใส่ Keyword เสมอ เพราะการทำ PR คือการช่วย Build SEO …
เราอาจจะไม่ได้เก่งเท่ากันทุกคนแต่เราพัฒนาตัวเองได้เสมอ อย่ารอดิ้นรนตอนลำบาก แต่ให้สร้างเป็นโอกาสในตอนที่พร้อม
ใช่อยู่ว่า ในทุกเรื่องมีข้อจำกัดและเราทุกคนไม่ได้เก่งเท่ากันทุกเรื่อง ไม่ได้พร้อมเหมือนกันอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เป็นเรื่องของโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม แต่เราไม่ควรเอาความไม่เก่ง ความไม่พร้อม มาด้อยคุณค่าตัวเอง มาเป็นข้อจำกัดที่จะไม่พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แม้แค่ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยก็ถือว่าก้าวข้ามกับดักและสำเร็จแล้วในขั้นแรก เช่นกันคนส่วนมากมักจะละเลยที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นให้เก่งขึ้นในช่วงที่มีกำลังมีโอกาส มีเงิน เพราะคิดเพียงว่า “ไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องรีบ ยังไม่ถึงเวลา ยังพอมีเวลา” และเมื่อจนตรอกหมดหนทางไปดิ้นรนเอาตอนนั้นก็คงลำบากเพราะไม่ใช่ช่วงที่ทำได้เหมาะสม …
เปิดเทคนิคใช้ Influencer Marketing เพื่อสร้างยอดขายดันแคมเปญ
การจะเลือกใช้ Influencer Marketing นั้น จะใช้โดยไม่ดูเดต้าและไม่มีกลยุทธ์ไม่ได้ มีข้อมูลให้ไว้กับสื่อในหลายสำนักว่า Influencer Marketing ถ้าวางแผนให้ดีและเลือกใช้ในเทศกาลสำหรับหรือ Seasonal Campaign มีผลช่วยส่งเสริมยอดขายได้ดีมากขึ้น รู้ Objective ที่ชัดเจนว่า Influencer คนนี้ จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เช่น ให้ Influencer ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับแบรนด์และโปรดักส์ เป็นต้น เลือก Influencer ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ที่มีฐานคนติดตามที่ Engagement สูงหรือเป็น Target ที่สามารถ Convert มาเป็นโอกาสการขายและเป็นลูกค้า จับมือร่วมกันกับ Influencer เพื่อขึ้นแคมเปญสื่อสารร่วมกันตามเป้าหมายของแคมเปญที่เซตไว้ร่วมกัน เปิดโอกาสให้ Influencer จำนวนมาก Free from ในการ Collaboration ร่วมกันในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อกระตุ้น Impact มหาศาล …
ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับ Mindset ของคน ถ้าคนทำงานยังยึดติดแต่กับผลงานที่ประสบความสำเร็จ ไม่เคยพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก็จะทำให้สิ่งที่เคยเรียนรู้นั้น ล้าสมัยและใช้ไม่ได้อีกต่อไป
นำแนวคิดในการบริหารของผู้บริหารหนุ่มหล่อ มากความสามารถอย่าง ‘คุณสาระ ล่ำซำ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มาฝาก ดีร้ายอยู่ที่มุมมอง คุณสาระ ได้ยกข้อดีของการที่ต้องประชุมออนไลน์ และได้ให้ Solution ในการทำงาน โดยมีข้อความตอนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ว่า “ในขณะเดียวกัน แม้จะเป็นวันที่ไม่ได้เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ ไม่ว่าพนักงานจะอยู่หรือกำลังเดินทางไปที่ใดก็แล้วแต่ มีข้อแม้อย่างเดียว นั่นคือ ขอให้สามารถติดต่อเพื่อคุยงานได้ และเมื่อมีการประชุมออนไลน์เพื่อหารือคุยกัน ขอความร่วมมือให้พนักงานทุกคนได้เปิดกล้องเพื่อให้เห็นหน้าเพื่อให้มี Eye Contact ของผู้สนทนา ทั้งนี้อาจจะเปลี่ยนพื้นหลังก็ได้” เช่นกัน ปรับ Mindset “ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับ Mindset ของคน ถ้าคนทำงานยังยึดติดแต่กับผลงานที่ประสบความสำเร็จ ไม่เคยพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก็จะทำให้สิ่งที่เคยเรียนรู้นั้น ล้าสมัยและใช้ไม่ได้อีกต่อไป” นอกจากนี้ยัง Mention ในเรื่องของการ UpSkill, ReSkill ว่า “ผมได้มีนโยบายส่งเสริมให้พนักงานควรมีการ Reskill และ Upskill เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดจำเป็นต้องให้ Reskill พนักงาน ควรได้รับการเรียนรู้และหาความรู้ใหม่ ๆ คอยปรับและสร้างกระบวนการใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม อีกทั้งทุก ๆ คนควรได้รับการพัฒนาศักยภาพของตนเองและมี Career Path ที่ดีขึ้นคู่ขนานกันไป เพื่อเพิ่ม Productive อย่างต่อเนื่อง ข้อดี คือ ทำให้พนักงานมีทักษะที่หลากหลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยในเรื่องการบริหารความเสี่ยงของการหา Successor หรือ Succession Plan เพราะหากพนักงานคนนี้ไม่อยู่ จะได้มีอีกคนที่สามารถทำงานแทนได้” …
ถ้าเราต้องการให้ผู้คนจับจ้องมาที่เรา ทำตามและจดจำเราได้ ต้องเริ่มใช้เดต้าสร้างคุณค่าให้เกิดเทรนด์ให้ได้
‘ถ้าเราต้องการให้ผู้คนจับจ้องมาที่เรา ทำตามและจดจำเราได้ ต้องเริ่มใช้เดต้าสร้างคุณค่าให้เกิดเทรนด์ให้ได้’ จากประโยคนี้กำลังจะนำเข้าสู่เรื่องของการทำตามกลยุทธ์นี้ของ Google ที่ในทุก ๆ ปีจะเปิด ‘Google’s Year in Search’ ขึ้นมา เพื่อเซตให้เห็นว่า Google นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด และสร้างผลกระทบต่อโลกใบนี้ วิถีชีวิตของผู้คนและธุรกิจของคุณได้อย่างไรบ้างนั่นเอง โดย Research กว่า 70 หน้าของ Google นั้นได้ให้ข้อมูลเชิงสถิติที่หลากหลาย และสรุปมาเป็นเป็น Direction ให้กับธุรกิจ แต่นัยยะหนึ่งที่สำคัญนั่นคือ การที่ Google สรุปมาให้นั้นแปลว่า ทุกคนจะต้องจับจ้อง Google และมี Google เป็นเหมือนเข็มทิศนำทาง ละทิ้งกันระหว่างทางไม่ได้ นี่คือ กลยุทธ์ทางธุรกิจของ Google ที่ชาญฉลาดมาก ๆ จากการเก็บข้อมูลและมาทำ Campaign นี้ สิ่งแรกเลยที่เปิดเผย คือ ภาวะหมดไฟและการค้นหาตัวตนที่แท้จริงใหม่อีกครั้งของผู้คนหลังภาวะโรคระบาดครั้งใหญ่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว การมาแรงของวัฒนธรรมไทยจากการถูกค้นหาเรื่อง Thailand Soft Power จำนวนมาก การค้นหาทักษะใหม่ ๆ เช่น ทักษะการเป็นเข้าของธุรกิจ ค่านิยมส่วนบุคคล การยอมรับในตัวตนที่หลากหลาย หรือแม้กระทั่งการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ก็เพิ่มขึ้น การเข้าใจและปรับใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ไม่ต้องแบ่งแยกแต่เน้นความลึ้งซึ้ง ไม่ใช่แค่ ‘ต้องทำ’ เช่น dtac สร้างโฆษณาที่ทำให้เห็นว่าผู้พิการคือบุคคลที่พึ่งหาตัวเองได้ ผู้คนเริ่มสนใจเรื่องการประหยัดและช่วยโลกมากขึ้นและยังให้ความสนใจกับความยั่งยืน …